ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ระบบการย่อยอาหารของกระเพาะอาหาร

กระเพาะอาหาร (stomach) มีลักษณะที่เป็นถุงมีชั้นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง ส่วนชั้นในสุด
เป็นชั้นของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่มีต่อมมากมายทำหน้าที่สร้างของเหลว (gastric juice)
ออกมา 3 ชนิด  คือ เอนไซม์เปปซิน กรดไฮโดรคลอริกและน้ำ
           อาหารเมื่อย่อยในปากแล้วจะถูกส่งไปยังกระเพาะอาหารโดยผ่านไป
ตามหลอดอาหาร ปกติกระเพาะอาหารขณะที่ไม่มีอาหารอยู่จะมีขนาดประมาณ
50 ลูกบาศก์เซนติเมตร แต่เมื่อมีอาหารบรรจุ กระเพาะอาหารก็จะสามารถขยายเพิ่มขึ้น
ได้อีกประมาณ 10 - 40 เท่า
    ผนังชั้นในสุดของกระเพาะอาหารทำหน้าที่ผลิตเอนไซม์ชื่อว่าเปปซิน ( pepsin )

และ กรดไฮโดรคลอริก ออกมาในปริมาณเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมีอาหารเข้า
สู่กระเพาะอาหารเอนไซม์และกรดไฮโดรคลอริกก็จะถูกผลิตและขับออกมา
ในปริมาณมากขึ้น
 เพื่อใช้ในการย่อยอาหาร นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์อีกชนิดหนึ่ง ชื่อว่า เรนนิน
สำหรับย่อยโปรตีนในน้ำนม
    เอนไซม์เปปซินในกระเพาะอาหารมีหน้าที่ย่อยสารอาหารประเภทโปรตีนให้มี

ขนาดเล็กลง แต่ยังมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะแพร่เข้าสู่เซลล์ได้ ดังนั้นจะต้องส่งไป
ย่อยต่อที่ลำไส้เล็กกรดไฮโดรคลอริกที่กระเพาะอาหารสร้างขึ้นแลปล่อยออกมา
ในตอนแรกจะมีความเข้มข้นสูง สามารถทำอันตรายแก่เนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายได้
แต่จะไม่เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหาร
ถ้ากรดนี้รวมตัวกับอาหารในกระเพาะทำให้กรดเจือจางลง ประกอบกับเนื้อเยื่อบุ
กระเพาะอาหารด้านในมีการสรางน้ำเมือกเคลือบไว้ กรดไฮโดรคลอริกจึงไม่ทา
อันตรายแก่ผนังกระเพาะอาหารได้ง่ายนัก แต่ถ้ากระเพาะอาหารปล่อยน้ำย่อย
ออกมามากๆ ในขณะที่ไม่มีอาหารอยู่จะมีผลทำให้ผนังของกระเพาะอาหารถูก
ทำลายได้ และเมื่อเกิดบ่อยๆครั้งจะเป็นผลทำให้เกิดแผลและีเลือดไหลซึมออก
มาจากเยื่อบุในกระเพาะอาหาร สังเกตได้จากอุจจาระมีสีดำเนื่องจากมีเลือด
ไหลปนออกมาด้วย
การย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง
สัตว์เคื้ยวเอื้องเป็นสัตว์ที่มีจำนวนมาก จึงมีทางเดินอาหารแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิด
ของอาหารที่กิน ตัวอย่างเช่น สัตว์กินพืช เช่น วัวและควาย จะมีโครงสร้างของทางเดิน
อาหารที่แตกต่างจากสัตว์อื่น โดยเฉพาะกระเพาะอาหารจะแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ
       1. รูเมน (Rumen) เรียกว่า ผ้าขี้ริ้ว มีลักษณะเป็นผนังยื่นออกมา ทำหน้าที่หมัก

อาหารโดยจุลินทรีย์ อาหารจะถูกส่งออกมาเคี้ยวเอื้องอีกครั้งหนึ่งเพื่อบดเส้นใยให้ละเอียด
       2. เรติคิวลัม (Reticulum) เรียกว่า กระเพาะรังผึ้ง
       3. โอมาซัม (Omasum) เรียกว่า กระเพาะสามสิบกลีบ
      4. อะโบมาซัม (Abomasum) หรือกระเพาะจริง จะมีการย่อยอาหารทางเคมี

และส่งอาหารต่อไปยังลำไส้เล็ก เพื่อย่อยอาหารที่กินเข้าไป และย่อยจุลินทรีย์เป็นอาหารต่อไป
 หญ้าที่วัวกินเข้าไปนั้นจะเข้าไปอยู่ในกระเพาะส่วนเรติคิวลัม จากนั้นจะมีการหดตัวของกระเพาะส่วนเรติคิวลัม เพื่อส่งอาหารผ่านเข้าสู่กระเพาะส่วนรูเมน ซึ่งเป็นกระเพาะที่มีขนาดใหญ่กว่ากระเพาะอื่นๆ เมื่อวัวกินอาหารจนเต็มที่แล้วก็จะสำรอกอาหารที่เก็บอยู่ในกระเพาะส่วนรูเมนออกมาเคี้ยวใหม่เป็นครั้งเพื่อบดอาหารให้ละเอียดขึ้น เรียกว่า เคี้ยวเอื้อง แล้วกลืนกลับเข้าไปใหม่ อาหารจะถูกหมักอย่ในกระเพาะ รูเมนเป็นเวลาหลายชั่วโมง โดยมีแบคทีเรียและโพรโทซัว ช่วยย่อยสลายเซลลูโลสให้เป็นกรดไขมันอย่างง่าย กรดไขมันนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบหมุนเวียนเลือดเพื่อใช้เป็นแหล่งให้พลังงานและจุลินทรีย์เหล่านี้ยังช่วยสังเคราะห์กรดไขมันจากคาร์โบไฮเดรต และสังเคราะห์กรดอะมิโน จาก ยูเรีย แอมโมเนียจากการหมักนอกจากนี้จุลินทรีย์ยังสามารถสร้างวิตามินบี12ได้ด้วยจากนั้นอาหารและจุลินทรีย์ที่อยู่ในกระเพาะรูเมนจะถูกบีบส่งกลับไปยังกระเพาะส่วนเรติคิวลัม และส่งต่อไปยังกระเพาะโอมาซัม เพื่อบดอาหารผสมรวมกัน และบีบคั้นน้ำออกเพื่อให้อาหารแห้งและเป็นก้อน จากนั้นส่งเข้ากระเพาะอาหารแอบโอมาซัมหรือกระเพาะจริง เพื่อทำการย่อยตามปกติ โดยมีเอนไซม์ช่วยในการย่อย
          เมื่ออาหารย่อยในกระเพาะอาหารแล้วจะถูกขับออกมาสู่ลำไส้เล็กตอนต้นและมีอวัยวะอื่นๆ อีกที่ช่วยในการย่อยอาหาร ได้แก่ ตับอ่อน สร้างเอนไซม์มาย่อยอาหารพวกโปรตีน ไขมัน และแป้ง ตับสร้างน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยในลำไส้เล็กโดยทำให้ไขมันแตกตัว เมื่ออาหารย่อยเสร็จเรียบร้อยแล้วจะดูดซึมเข้าระบบหมุนเวียนเลือดเพื่อนำไปใช้ในส่วนต่างๆของร่างกาย

1 ความคิดเห็น:

  1. ครั้งต่อไปจะเอาเรื่องการทำงานของเอนไซม์มาให้อ่านกันนะคะ
    by nickyblue_biology

    ตอบลบ